เพื่อรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศ ป้องกันแรงงานต่างชาติปลอมแปลงเอกสารเข้าสู่ประเทศ ในอนาคต ชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้าสู่ไต้หวัน อาจจะต้องพิมพ์ลายนิ้วมือ ขณะไปยื่นขอตรวจลงตรา หรือขอวีซ่าเข้าเมือง โดยมาตรการนี้ จะเริ่มใช้กับแรงงานต่างชาติจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อน
กระทรวงการต่างประเทศไต้หวันสาธารณรัฐจีนเสนอร่างกฎหมายว่าด้วยการตรวจลงตราของชาวต่างชาติฉบับแก้ไข โดยจะมีการผ่อนปรนกฎระเบียบในการขอวีซ่าเข้าเมืองสำหรับชาวต่างชาติที่มีทักษะเฉพาะด้าน เพื่อดึงดูดผู้เชี่ยวชาญชาวต่างชาติให้มาทำงานหรือพำนักในไต้หวันได้ง่ายและมากขึ้น นอกจากนี้ ยังจะผ่อนผันการขอตรวจลงตรา สำหรับชาวต่างชาติที่มีคู่สมรสหรือหรือญาติสายเลือดตรงป่วย
หนัก เสียชีวิต หรือเดินทางเข้าไต้หวันด้วยเหตุผลช่วยเหลือกู้ภัยหรือเหตุผลทางด้านมนุษยธรรม
หนัก เสียชีวิต หรือเดินทางเข้าไต้หวันด้วยเหตุผลช่วยเหลือกู้ภัยหรือเหตุผลทางด้านมนุษยธรรม
ที่น่าสังเกตุก็คือ ร่างกฎหมายฉบับนี้ นอกจากยังคงอำนาจของเจ้าหน้าที่สำนักงานตัวแทนไต้หวันประจำประเทศต่างๆ ในการขอสัมภาษณ์ ขอให้แสดงหลักฐานการตรวตโรคและแสดงประวัติอาชญากรรมแล้ว ยังมีอำนาจขอให้ผู้ถือหนังสือเดินทางแสดงข้อมูลการระบุตัวตนด้วยค่าทางชีวภาพ ซึ่งประกอบด้วยการพิมพ์ลายนิ้วมือ และการสะแกนจอประสาทตาเป็นต้น
กระทรวงการต่างประเทศไต้หวันให้เหตุผลว่า สืบเนื่องจากกระแสต่อต้านการก่อการร้ายทั่วโลก ประเทศต่างๆ เช่นสหรัฐอเมรกา ญี่ปุ่น แคนาดาและอียู ต่างก็ใช้มาตรการป้องกันความปลอดภัย ด้วยวิธีให้ผู้ถือหนังสือเดินทางแสดงข้อมูลการระบุตัวตนด้วยค่าทางชีวภาพแล้วทั้งนั้น
นอกจากนั้น เพื่อสนองนโยบายรัฐบาลและดำเนินการตามข้อเรียกร้องของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ป้องกันแรงงานต่างชาติที่เคยทำผิดกฎหมาย หลบหนีนายจ้างกลายเป็นแรงงานต่างชาติผิดกฎหมาย ใช้วิธีเปลี่ยนชื่อหรือสวมบัตรประชาชนของผู้ยื่น ไปยื่นขอวีซ่าเข้าไต้หวัน ขณะที่ชาวต่างชาติยื่นขอวีซ่าเข้าเมือง สำนักงานตัวแทนไต้หวัน จะขอให้ผู้ถือหนังสือเดินทางพิมพ์ลายนิ้วมือก่อน หากพบเคยมีประวัติอาชญากรรม จะไม่ให้เดินทางเข้าสู่ไต้หวัน โดยมาตรการนี้ จะเริ่มใช้กับแรงงานจากประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ไทย อินโดนีเซีย เวียดนามและฟิลิปปินส์ก่อน คาดว่าจะมีเริ่มใช้มาตรการนี้ในปลายปี 2554 นี้ หลังจากติดตั้งระบบตรวจสอบลายพิมพ์นิ้วมือออนไลน์เรียบร้อยแล้ว
ระบบตรวจสอบลายพิมพ์นิ้วมือออนไลน์ดังกล่าว นอกจากมีประโยชน์ต่อไต้หวันแล้ว สำหรับแรงงานไทย ก็จะได้รับประโยชน์ทางอ้อมด้วย กล่าวคือ ผู้ที่เคยทำงานในไต้หวันเกิน 9 ปีแล้ว แต่เคยเปลี่ยนชื่อและนามสกุลมาก่อน ไม่แน่ใจว่าจะสามารถเข้าสู่ไต้หวันทำงานต่อไปได้อีกหรือเปล่า ที่ผ่านมาบางคนจะใช้วิธีเสี่ยงดวง เมื่อเดินทางเข้าสู่ไต้หวันแล้ว บางคนไม่มีปัญหา แต่บางคนถูกตรวจพบว่า เคยเดินทางมาทำงานใกล้จะครบหรือครบ 9 ปีแล้ว คนที่โชคดีจะถูกให้เดินทางกลับประเทศ แต่บางคนโชคร้าย ถูกสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดยเฉพาะสาขาไทจง จับกุมตัวส่งอัยการฟ้องศาล จนถึงขณะนี้ เท่าที่มีข้อมูลเกินกว่า 5 คนแล้ว
อย่างกรณีล่าสุด เกิดขึ้นช่วงต้นปีนี้ นายอมฤต สุรภีร์ อายุ 33 ปี คนงานไทยจากจังหวัดชัยภูมิ ซึ่งเคยเดินทางมาทำงานที่ไต้หวันแล้ว 3 ครั้ง รวมระยะเวลาทำงาน 8 ปี 9 เดือนเศษ ยังเหลือเวลาอีก 2 เดือนเศษจะครบ 9 ปี ครั้งนี้กลับไปเปลี่ยนชื่อแล้วเดินเรื่องกลับมาทำงานที่เดิม หลังเดินทางมาถึง 1 วัน บริษัทจัดหางานพาไปพิมพ์ลายนิ้วมือ และยื่นขอใบถิ่นที่อยู่ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและกิจการแรงงานต่างชาติ สาขานครไทจง ถูกเจ้าหน้าที่รับเรื่องควบคุมตัวใส่กุญแจมือ ส่งให้อัยการดำเนินคดี ข้อหาปลอมแปลงเอกสารและแจ้งข้อมูลเท็จต่อเจ้าพนักงานนั้น
แม้ว่าด้วยความช่วยเหลือจากสำนักงานแรงงานไทยในกรุงไทเป ในการว่าจ้างทนายความมาช่วยแก้ต่างคดี จนอัยการจากสำนักงานอัยการศาลท้องถิ่นนครไทจง สั่งไม่ฟ้องนายอมฤต เนื่องจากไม่มีหลักฐานปลอมแปลงเอกสาร และนายอมฤตก็ยอมรับสารภาพว่า มีเจตนาแจ้งข้อมูลเท็จ เพื่อหวังมีโอกาสทำงาน ซึ่งเป็นความผิดลหุโทษ ประกอบกับนายอมฤตให้ความร่วมมือโดยดีและไม่มีประวัติกระทำผิดมาก่อน จึงเห็นควร สั่งไม่ฟ้อง แต่กว่าจะได้รับอิสระภาพ ก็ต้องถูกกักตัวอยู่ในสถานกักกันนานกว่า 2 เดือน
คดีของนายอมฤต เป็นตัวอย่างของคนงานไทยที่ทำงานในไต้หวันใกล้จะครบหรือครบ 9 ปีแล้ว อยากจะกลับมาทำงานอีก โดยการเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล ซึ่งอดีตนั้น เจ้าหน้าที่อาจตรวจสอบข้อมูลได้ยาก แต่ปัจจุบัน สามารถทำได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากมีการบันทึกลายพิมพ์นิ้วมือในรูปแบบดิจิตอล ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงข้อมูลอย่างไร ลายพิมพ์นิ้วมือก็ยังเป็นคนเดียวกัน แม้ว่าเมื่อถูกตรวจพบแล้ว จะไม่ถูกลงโทษด้วยการจำคุก แต่กว่าจะจบเรื่อง ต้องใช้เวลานานเป็นเดือน ทำให้เสียเวลาและต้องถูกกักตัวอยู่สถานรองรับชาวต่างชาติ ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ทำให้ทุกข์ทรมานกายใจ
ทั้งนี้ คณะกรรมการการแรงงานหรือ CLA เตือนว่า ปัจจุบันมีการตรวจเข้มคนงานต่างชาติที่ทำงานในไต้หวันครบกำหนด 9 ปี แล้วกลับมาทำงานอีก นอกจากใช้คอมพิวเตอร์ตรวจสอบฐานข้อมูลแล้ว ยังตรวจลายพิมพ์นิ้วมือด้วยระบบคอมพิวเตอร์ คนงานต่างชาติที่ฝ่าฝืนกฎหมายจะถูกส่งกลับประเทศ แต่หากสวมบัตรประชนคนอื่น ซึ่งเข้าข่ายปลอมแปลงเอกสารก็จะถูกส่งดำเนินคดี กรณีของนายจ้างรู้เห็นเป็นใจ จะถูกลงโทษปรับเงิน 150,000 เหรียญขึ้นไป ไม่เกิน 750,000 เหรียญ และหากบริษัทจัดหางานทราบเรื่องแล้วยังให้ความช่วยเหลือในการกระทำผิด จะถูกลงโทษปรับเงิน 60,000 เหรียญขึ้นไป ไม่เกิน 300,000 เหรียญไต้หวัน
สำนักงานแรงงานก็เตือนแรงงานไทย โดยเฉพาะท่านที่ใกล้ครบหรือครบกำหนด 9 ปีแล้ว กลับบ้านไปเปลี่ยนชื่อหรือสวมชื่อคนอื่นกลับเข้ามาทำงานอีกว่า แม้นายจ้างบางรายบอกว่าไม่เป็นไร หรือถึงขนาดออกค่าใช้จ่ายในการไปเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุล ก็ไม่ควรฝ่าฝืนกฎหมาย เนื่องจากท่านอาจถูกตรวจพบ ถูกส่งกลับหรือถูกดำเนินคดีเช่นเดียวกับแรงงานไทยที่กล่าวมาก็ได้ ควรจะรอให้กฎหมายการจ้างงานผ่านสภา อนุญาตให้ขยายเวลาทำงานของแรงงานต่างชาติออกไปเป็น 12 ปีแล้ว จึงจะกลับเข้ามาใหม่ ด้วยความสบายใจและไม่ต้องผวาว่าจะถูกตรวจพบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น